ใครกำลังมองหาประเทศท่องเที่ยวใหม่ๆ ผจญภัยนิดๆ กิจกรรมตื่นเต้นๆ ตื่นตาเมืองแปลกๆ และบรรยากาศที่เหนือจินตนาการ ประเทศจอร์แดน ประเทศเล็กๆ ในโซนอาหรับ คือคำตอบเลยค่ะ
แน่นอนว่า การเดินทางกับ HOP Holidays เราต้องมีอะไรที่พิเศษ มาดูกันค่ะว่าในทริปนี้เราทำอะไร ที่ไหนกันบ้าง
ทริปจอร์แดนนี้ เราเดินทางทั้งสิ้น 7 วัน หักลบการเดินทางจากกรุงเทพ ก็จะมีเวลาเที่ยวเต็มๆ 5 วัน กับ 5 เมือง ตามนี้ค่ะ
DAY1‼ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ 3 ศาสนา ที่เมืองมาดาบ้า ขึ้นภูเขเนโบ เข้าชมโบสถ์กรีก-ออโธดอกซ์ เข้าชมป้อมปราสาทเครัค แล้วไปจบวันที่นครเพตรา
DAY2‼ แต่งตัวให้เต็ม เพื่อไปตะลุยเพตรา ขี่ลา ขี่ม้า ชมนครสีชมพูที่ลึกลับ ก่อนไปนอนดูดาวกลางทะเลทรายวาดิรัม ใน Star Tent สุดพิเศษ
DAY3‼ ท่องทะเลทรายกับกองคาราวาน ชมภาพเขียนสีโบราณ ถ่ายเซลฟี่แบบเก๋ๆ คู่น้องอูฐ ก่อนจะไปลงเรือท้องกระจก ดำน้ำชมประการังที่ทะเลแดง
DAY4‼ พอกโคลนบำรุงผิว นอนลอยตัวใน Dead Sea แล้วใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศสุดพิเศษ
DAY5‼ ตื่นตากับร่องรอยประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เที่ยวปราสาทเก่าอัจลุน ชมเมืองโบราณเจราช มหานครพันเสา และชม Citadel ที่เมืองอัมมาน
สำหรับรายละเอียดแต่ละวัน จะเป็นแบบนี้ค่ะ
DAY1 หลังจากบินตรงจากกรุงเทพ ถึงเมืองอัมมานเมืองหลวงของประเทศจอร์แดน ในช่วงเช้า เราก็ทานอาหารเช้าและก็เดินทางไปเมืองมาดาบ้า ที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงอัมมาม ที่มาดาบ้า เมืองนี้เป็นเมืองที่มีสถานที่ที่สำคัญทางประวัตศาสตร์ของ 3 ศาสนา ได้แก่ ยิว คริสต์ และอิสลาม ที่นี่เราได้ขึ้นไปบนภูเขาเนโบ สถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่ศาสดาโมเสสยืนมองเหล่าลูกหลานชาวยิว เดินทางจากอียิปต์เข้าไปยังดินแดนพันธสัญญาที่พระเจ้ามอบให้ นั้นก็คืออิสราเอล จากมุมนี้ถ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งเราจะมองเห็นประเทศอิสราเอลได้เลย นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว บนภูเขาลูกนี้ก็ยังมีไม้กางเขนสูงเด่น สวยงามแปลกตาเป็นไม้กางเขนที่พระสันตะปาปาให้สร้างขึ้นเพื่อประกาศว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ เราจะได้เข้าชม โบสถ์กรีก-ออโธดอกซ์ อันเก่าแก่ ที่เก็บรักษาภาพโมเสคล้ำค่าไว้เยอะมากๆ เป็นภาพโมเสกเก่าแก่ ใช้หินสีต่างๆ เรียงเป็นภาพแสดงถึงวิถีชีวิต ของคน สัตว์ และธรรมชาติ ใครที่รักงานศิลปะมาที่นี่คุ้มค่าแน่นอน เพราะที่เมืองมาดาบ้านี้ เค้าเรียกกันว่า เป็นเมืองแห่งโมเสค เพราะมีผลงานโมเสคเก่าแก่อันล้ำค่าให้ชมมากมาย และยังมีศิลปินในปัจจุบันทำงานโมเสคกันอยู่อีกมาก
โมเสคในโบสถ์บนภูเขาเนโบ
อีกที่ที่เราไปกันในวันแรกคือที่ปราสาทเครัค ป้อมปราการเก่าแก่ มีความสำคัญในการทำสงครามครูเสด ระหว่างมุสลิมกับคริสต์เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการเดินทางจากยุโรปไปตะวันออกกลางจึงเป็นที่มาของการแย่งชิงพื้นที่แห่งนี้
ถ้าได้ดูหนังเรือง Kingdom of Heaven มาก่อน จะอินกับที่ตรงนี้เพราะหนังได้พูดถึงพื้นที่แห่งนี้อยู่ด้วย
ก่อนจบวันแรกที่จอร์แดน เราจะไปนอนกันที่เมืองเพตรา มหานครสีชมพู คืนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกาย และเสื้อผ้า เพราะวันพรุ่งนี้ เราจะไปพจญภัยกันในนครเพตรา
DAY2 วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นมากๆ เพราะเราจะได้เข้าไปผจญภัยในนครสีชมพูอันลึกลับ “เพตรา” เราเริ่มวันกันตั้งแต่เช้ามืด ทานข้าวเสร็จก็ถึงเวลาเดินหน้าเข้าเมืองโบราณ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเราเลย
ที่ปากทางเข้า สามารถเดินเข้าไปยังเมืองเพตราได้ 3 วิธี คือ เดิน ขี่ม้า หรือนั่งรถม้าเข้าไป ส่วนเราเลือกใช้วิธีการขี่ม้าเข้าไปตรงจุดที่เรียกว่า เดอะซีค (The Siq) ระหว่างทางก็จะมีชาวพื้นเมืองจูงม้าเข้ามาทักทายพูดคุยกับเรา รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะภาษาหลักๆ ที่คนประเทศนี้เค้าพูดกันคือภาษาอาหรับ
โดยส่วนมากคนที่เข้ามาคุย คือคนที่จะมาเสนอบริการร้อยแปดพันเก้าเพื่อขอทิป ใครเผลอไปคุยอาจต้องปวดหัวหรือเสียเงินค่าบริการเกินจำเป็น ทัวร์เราเลยจัดการให้ไกด์พื้นเมืองคุยกับชาวพื้นเมืองให้ไม่ยุ่งกับเราเกินงาม ส่วนบริการม้าเรามีบริการอยู่ในทัวร์แล้วก็จะไม่วุ่นวาย
เราขี่ม้าเข้ามาถึงจุดแรกที่เรียกว่า เดอะซีค จุดนี้เป็นทางเดินเท้าผ่านช่องเขาประมาณ 1 กิโลเมตรเพื่อเข้าไปยังนครเพตรา ระหว่างทางเดินในเดอะซีค บรรยากาศรอบๆตัวนั้นดีมาก ทั้งหุบเข้าที่ดูลึกลับ สลับกับภาพแกะสลักโบราณที่มีให้เห็นเป็นเป็นระยะ รวมถึงก้อนหินทรงแปลกๆให้จินตนาการเป็นสิ่งต่างๆ
หินก้อนนี้ ถ้ามองจากมุมด้านหน้าจะเหมือนกับหน้าของช้างเลย แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่งจะเหมือนกับปลา
เราเดินลัดเลาะซอกฝา จนภาพตรงหน้าค่อยๆเผยวิหารหลังใหญ่ที่เรารอคอย ตรงนี้เค้าเรียกว่า The Thesurey ทั้งใหญ่ ทั้งสวยงามมาก ได้แต่อุทานเบาๆว่า ว้าวว Amazing จุดนี้เค้าเรียกว่า The Thesurey เพราะว่าในยุคก่อนเชื่อว่าที่แห่งนี้เป็นที่เก็บสมบัตินั่นเอง
มาถึงตรงจุดนี้แล้วจะมาถ่ายรูปจากแค่มุมข้างล่างอย่างเดียวคงไม่พอเพราะที่นี้เค้ามี The Best View ที่เราควรต้องไปถ่ารูปกัป นั้นคือ การต้องปีนภูเขา ขึ้นไปถ่ายรูปกับมุมสูงของ The Thesurey
การจะขึ้นไปถ่ายรูปที่มุมนี้จะนากนิดนึง ทางที่ดีเราควรจ้างเด็กๆชาวพื้นเมืองนำทางขึ้นไปจะดีกว่าเพราะทางขึ้นไปจุดนี้ ไม่ธรรมดาเลย ต้องปีนเขา เกาะหน้าผาขึ้นไปนิดหน่อย หวาดเสียวแต่บอกเลยว่าสนุกและคุ้มค่ามากๆ
หนุ่มๆ พื้นเมืองที่จะพาเราไปถ่ายรูปมุมสูง
ปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่เมืองนี้ก็จะมาแค่ถ่ายรูปกับ. The Thesurey แค่นั้น แต่จริงๆแล้วมีอีกมุมนึงที่แนะนำอยากให้ไปมาก นั้นคือตรงจุดที่เรียกว่า The Monasty
การไปตรง The Monasty นั้นบางคนก็ใช้การเดิน บางคนก็เลือกขี่ลา แต่วิธีที่แนะนำคือการขี่ลาไปดีกว่า เพราะมันไกล และเราต้องเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้น
น้องลาที่นี่เค้าก็น่ารัก คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี แม้ไม่มีคนจูง แต่น้องเค้าก็พาเราไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย จะหวาดเสียวหน่อยก็ตอนที่ขึ้นบันไดนี่แหละ ต้องใช้กล้ามเนื้อแขนเยอะมาก ตอนที่ต้องจับเชือกแน่นๆ
ระหว่างทางบนหลังลาไปที่ The Monasty
ผ่านบันได 500 ขั้น มาถึงจุดนี้แล้วลืมความเหนื่อยไปเลย กับความยิ่งใหญ่ อลังการของที่แห่งนี้ และอีกหนึ่งความประทับใจคือระหว่างทางที่ขึ้นมาบน The Monastry จะเห็นวิถีชีวิตของชาวเบดูอิน ตั้งร้านขายของ มีแคม์เล็กๆอยู่ระหว่างทาง เป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก
หลังจากเต็มอิ่มกันที่นครเพตรา เราเดินทางต่อกันอีกประมาณชั่วโมงครึ่งเพื่อเข้าสู่ทะเลทรายวาดิรัม (Wadirum) อันสวยงาม ทะเลทรายที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมาใช้โลเคชั่นอันแปลกตาเป็นฉาก เช่น เรื่อง Lawrence of Arabia , Transformer , The Martial , Aladin
ป.ล. ใครที่กลัวว่านอนกลางทะเลทรายแล้วจะร้อน ก็ไม่ต้องกลัวเลย เพราะว่าตอนกลางคืนทะเลทรายที่นี่อากาศดีมากๆๆ ยิ่งดึกๆออกมานั่งดูดาว โรแมนติกสุดๆ ที่นี่แหละที่เค้าเรียกว่าโรงแรมดาวล้านดวงของจริง
ที่พัก Star tent หรือ Martien tent ของเรา
Day 3 เริ่มวันที่ Wadirum ด้วยการนั่งรถปิ๊กอัพเปิดประทุน ตะลุยทะเลทราย ชมความงดงามของทะเลทรายที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด
วันนี้ถ้าจะถ่ายรูปให้สวย ให้เข้ากับบรรยากาศ เราควรจะมีพร๊อพสักนิดนึง นั่นก็คือผ้าลายขาวแดงที่ชาวจอร์แดนเค้าจะนิยมเอาไว้โพกศีรษะกัน อีกอย่างเอาไว้ใช้สำหรับกันฝุ่นด้วย เพราะบางครั้งระหว่างที่เรานั่งรถตะลุยทะเลทรายอยู่นั้น ก็อาจมีลมพัดฝุ่นเข้ามา
เราไปทะเลทรายมาก็หลายที่ แต่ที่นี้สวยกว่าที่อื่นๆ ตรงที่ฉากหลังของทะเลทราย จะมีภูเขาสูงใหญ่ รูปทรงแปลกตา อยู่ตามจุดต่างๆ และทรายของที่นี่ละเอียด มีเฉดสีที่สวยมากๆ ทั้งแดง ชมพู ส้ม เข้มบ้าง อ่อนบ้าง
ทะเลทราย Wadirum จุดหนึ่งที่ทุกคนต้องมาหยุดถ่ายภาพกับภูเขาลูกนี้คือ ภาพเขียนของชาวเผ่าที่เคยใช้ชีวิตในทะเลทรายกว่าหลายพันปี
จากทะเลทรายวาดิรัม เราก็นั่งรถมาที่เมืองอคาบา ประมานหนึ่งชั่วโมง ที่เมืองนี้เราจะล่องเรือท้องกระจกกันที่ทะเลแดง ทะเลแดงมีเขตแดนติดกับหลายประเทศ อย่างอิยิปต์ อิสราเอล ซาอุดิอารเบีย ต้องบอกว่าน้ำของทะเลแดงใสมากๆ เพราะแค่มองด้วยตาเปล่า ก็ยังมองเห็นปะการังที่อยู่ใต้ทะเล ส่วนใครที่อยากดำน้ำดูประการังก็สามารถทำได้เพราะเรือเค้ามีบริการอุปกรณ์ และมีเวลาให้เราค่ะ
Day 4 วันนี้เดินทางมาที่ จุดที่ต่ำที่สุดในโลก คือที่ตั้งของทะเลสาบ Dead Sea มาจอร์แดนก็ต้องไม่พลาด ไปทดลองลอยตัวในทะเลสาปน้ำเค็มที่เค็มที่สุดในโลก
วันนี้เราจะมีเวลาเต็มที่ในการแช่น้ำ และชื่นชมทะเลที่สวยงาม เราพักกันที่โรงแรมที่นี่ 1 คืน เพราะฉะนั้นไม่ต้องหิ้วเสื้อผ้าแบกไปมา และนอกจากลอยตัวแช่น้ำแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ การบำรุงผิวพรรณด้วยการพอกโคลนจากทะเลเดดซี ใครอยากมีผิวพรรณเนียมนุ่ม ก็ต้องมาลอง มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ทะเลเดดซี ระเหยลดน้อยลงทุกๆปี ณ จุดนี้ใครอยากมาลอยตัวที่นี่ รีบๆมากันนะ
Day 5 : วันนี้เราจะไปที่ป้อมปราสาทอัจลุน ( Ajloun Castle ) อีกหนึ่งป้อมปราการที่สร้างขึ้นในยุคของสงครามครูเสด มีความสมบูรณ์กว่าที่ปราสาทเครัก เพราะที่แห่งนี้แทบไม่ได้ใช้งานเลย การมาที่นี้ต้องเดินทางขึ้นไปยังบนภูเขาสูง ระหว่างทางขึ้นไปเราต้องนั่งรถผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่บริเวณไหล่เขา ได้เห็นวิถีชีวิตพื้นเมืองของชาวพื้นเมือง มีทั้งร้านอาหาร ตลาดเล็กๆ โรงเรียน โบสถ์ มัสยิด บรรยากาศดูน่ารักอบอุ่น
เมืองโบราณเจราช หรือเมืองที่ได้รับฉายาว่า นครพันเสา เนื่องจากมีเสาโรมันที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในเมืองมากมายเยอะจนนับไม่ถ้วนว่ามันมีกี่เสากันแน่
เมืองโบราณเจราชเป็นอีกหนึ่งเมืองโบราณในยุคของโรมัน มีทั้ง ฮิปโปโดรม สถานที่แข่งขันกีฬาม้าของคนในสมัยก่อน ที่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์เลยล่ะ เดินเล่นกันให้เต็มที่ ฟังพี่ไกด์เล่าประวัติศาสตร์กับเมืองที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมัน
เจราช มหานครพันเสา
ก่อนเดินทางกลับ เรามาแวะชมกันที่ Citadel ในเมืองอัมมาน หลังจากนี้เราก็เดินทางไปยังสนามบิน
สุดท้ายแล้วรีวิวนี้ก็เป็นรีวิวที่อยากให้เห็นว่าทริปของ ฮอป ฮอลิเดย์ เราทำอะไรกัยที่จอร์แดนบ้าง สำหรับทุกคนที่อยากได้ประสบการณ์จริงๆ มีโอกาศก็ควรไปสักครั้ง เชื่อว่าจะได้ประสบการณ์ดีๆ มีเรื่องเล่าที่ประทับใจตุนกลับบ้านมาแน่นอน